วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559

รีวิว Midori Sushi @ Shibuya


  
      วันนี้ ตาตี่สี่ตา จะพาไปลองชิมร้าน Midori Sushi ที่ Shibuya ซึ่งตีคู่สูสี กันมากับร้าน Sushi dai ที่ตลาดปลา สึคิจิ  โดยร้านจะอยู่บนชั้น 4 ของตึก Shibuya mark city  (ไม่ต้องตื่นตี 5 ไปรอคิว 3 ชม.)โดยวิธีการมานั้นก็แสนสะดวก แค่เรานั่ง รถไฟ subway หรือ รถไฟ JR มาลงที่สถานี Shibuya ก่อนนะครับ

จากนั้นเราก็มองหาป้าย

หรือถ้าเราหาไม่เจอจริงๆให้ไปเริ่มที่รูปปั้นหมาฮาจิ ก่อนเลยครับ



หลังจากมองหน้า ตรงๆ กันแล้ว ลองเงยหน้ามองทางซ้ายก็เห็นแล้วครับ 

ตึกนั้นแหละครับ จุดมุ่งหมายของเรา 

จากนั้นๆก็เดินๆ ไปที่ชั้น 4 หาไม่ยากครับ

แปปเดียวก็ถึงหน้าร้านแล้นน


พอมาถึงก็เดินไปจิ้มที่ คอมพิวเตอร์ ทางซ้ายในรูป เพื่อรับบัตรคิว ก่อนนะครับ

ไม่ต้องถามเรื่อง รอคิว 


ดูจากแถวก็น่าจะรู้ แต่ผิดคาดนะครับ นั่งรอประมาณ 30 นาทีก็ได้เข้าไปกินละ

โดยได้นั่งตรงเคาเตอร์ ติดกับ เชพเลย

พอเข้าไป เชพก็ถามว่ามาจากที่ไหน 

พอบอก ไทยแลนด์ เชพ พูด สวัสดีครับ (อัธยาศัยดีมาก)

จากนั้นก็นำเมนู ให้เราดู เอาล่ะมาดู Menu กัน


ตาตี่สี่ตา มาถึงนี่ทั้งทีเลยสั่ง จานใหญ่สุดราคา 2800 เยน ไปเลยยยย 

นั่งรอไปสักพัก 


จานแรกมาแล้วครับ เป็น ไข่ตุ๋น ชาเขียว และสลัดมันปู อันขึ้นชื่อลือชา


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ อร่อยเหาะอย่างที่บอกจริง รสชาติของปูกับน้ำสลัด

เข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อแกล้มกับผักสดๆ อู้ยฟิน !!!!!!

มาครั้งหน้าก็จะกินอีก 55555


สักพักจานที่ 2 ก็ตามมา

1- 2.โอโทโร่ ละลายในปากรสชาติ จนลืมคิดว่านี่หรือ ปลา

3.ไข่หวาน จะมีรสเค็มมากกว่าบ้านเรานะ ไม่ออกหวานอย่างเดียว 

4.ไข่ปลา กรอบๆกรุบ มีกลิ่นทะเล นิดๆ รสชาติ ดีเลยนะ

5.ปลาสีขาว นี่ไม่รู้ปลาอะไร แต่กัดเข้าไปแล้วเนื้อเด้ง หวาน ดีจริง

6. เชพบอกว่าเป็น Oyster นะ กรุบๆกรอบๆ เด้งสู้ฟันดี

หมดไป 1 ชุดละ 


7. ซูชิกุ้ง เนื้อกุ้งแน่น หวาน หนึบ สด อร่อย มากๆ เต็มคำเต็มอารมณ์ สุด


8. ไข่หอยเม่น ความหวานของไข่บวกความเค็มของทะเล เข้าก้าน เข้ากัน

9. ไข่ปลาแซลมอน สด ใส หนึบ อร่อยอีกแล้วครับ 

10. น่าจะเป็นเอ็นหอย กรึบๆ แปลกๆ ดีครับ


แล้วเชพก็บอกว่านี่คือจานสุดท้ายแล้ว

11. ปลาไหล มาเป็นตัวๆ หวานนุ่มละมุน กัดปุ้บ ละลายปั้บ 

12. ข้าวปั้นไส้ปลาบดละเอียด ณ จุดๆนี้ ยัดเข้าไปได้ก็ดีแล้ว อิ่มสุดๆ


ยัง !!!!!!!!!! ยังไม่หมด มีของหวานปิดท้ายด้วย 

แต่ ตาตี่สี่ตา โดนความอิ่มเข้าเล่นงานจนลืมถ่ายรูปมา 

(T-T)

จากนั้นก็ไปเช็คบิลที่เคาเตอร์ 2800+vat (สบายตัว เหอๆ)

สรุปแล้ว ร้านนี้มากินไม่ผิดหวังแน่นอน 

ถ้าถามว่าจะมาอีกมั้ย มาแน่นอนเลยครับ

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2559

เที่ยวญี่ปุ่น 3 วัน โดยใช้ Tokyo wide pass (วันที่ 3) – CHUREITO PAGODA – KAWAGUCHIKO

            ผ่านการเดินทางอันเหน็ดเหนื่อย หลังจากไปเจอ หิมะ อันหนาวเหน็บ เมื่อวาน ดังนั้นวั้นนี้เราต้องหาที่พักพิงอุ่นๆ หน่อย  เช่น ภูเขาไฟฟูจิ  (ดูดิ้จะอุ่นมั้ย) 

โดยแผนการเดินทางของเราวันนี้คือ แวะชมวิวที่ เจดีย์ชูเรโต ที่ สถานี Shimoyochida ก่อนจากนั้นค่อย เข้าไปที่ Kawaguchiko เพื่อล่องเรือ ขึ้นกระเช้า และชมวิวริมแม่น้ำ นั่นเอง


เราจะเริ่ม ที่สถานี Shinjuku นั่นเอง ใช้เวลาประมาณ  2 ชม. โดยเราต้องไปต่อรถที่สถานี Otsuki นะครับ

พอถึงสถานี Otsuki ก็เปลี่ยนมาขึ้นรถ Fujikyu กันนนนน



เอาล่ะมาถึงแล้วครับ สถานี Shimoyochida


จากนั้นเราเดินออกจากสถานี แล้วเลี้ยวไปทางขวา นะครับ จากนั้นเดินไปตามป้าย บอกทาง อาจต้องมองหานิดนึง แต่ว่าไม่ยากเกินความสามารถครับ 

หิมะยังละลายไม่หมด เลย แต่อากาศกำลังดีเลยครับ 15C.(พึ่งร้อนได้เท่านี้แหละ)


เดินผ่านบ้านคน ตามทางไปเรื่อยๆ จะเริ่มมองเห็น เจดีย์ อยู่บนๆ ทางขวา (ไกลมากกก)


ฟูจิ ซะหน่อย





เดินมาสักหน่อยก็จะเจอทางขึ้นแล้น 


ทำใจนิดนึงนะครับ อย่าเพิ่งท้อ กับสิ่งที่มองเห็น

มองจากตรงนี่ สถานีรถไฟ จะอยู่ทางซ้าย นะครับ ส้มๆ

เหนื่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

แต่สู้ต่อ เว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


มองจากตรงนี้ลงไป จะเห็นภาพบ้านเมืองที่ปกคลุมด้วย หิมะ 


สวยจริงๆ นะ (คุ้มค่าเหนื่อย)

เจดีย์แดง แล้นนน

ยังๆๆ ยังนะครับ วิวมหาชนต้องขึ้นไปอีก


และแล้วที่ผ่านความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดก็ ประสบผลสำเร็จ 

ถึงแล้ว โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย

สวยจริงๆ ครับ อากาศเย็นสบาย 

แวบแรกที่ขึ้นมาแล้วเห็นภาพนี้ มัน สวยสุดๆ เลยครับ

ถ้าไม่มาคุณพลาด แรงมากๆครับ

เอาล่ะชื่นชมเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางไปต่อกันครับ


เสาโทริอิ ระหว่างเดินลง 

เดินๆๆมาสักพักก็ มาถึงสถานี แต่แล้วก็มีเรื่อง เซอไพร้ เกิดขึ้นจนได้


พนักงานสถานี บอกว่า รถไฟเที่ยวต่อไป อีก 40 นาทีถึงจะมา 


รถใช้เวลาเดินทางไม่นาน แต่ รอน้านนน นาน 

ไม่เป็นไรครับ เราเดินหาไรกินแถวสถานี รอ ก็ได้ 

เอาล่ะ รถมาแล้ว เดินทางกันต่อได้ 


แปปเดียว ถึง แล้วครับ สถานี Kawaguchiko

จากนั้น เราก็เดินไปซื้อ ตั๋ว R Coupong  
เป็นตั๋วเหมาจ่าย นั่งรสบัส 2วัน+เรือ+กระเช้า ราคา 2300 เยน นะครับ



อุปกรณ์ พร้อมแล้ว เดินทางกันเลยยย


เราจะไปที่ เบอร์ 11 ตาม red line (เส้นสีแดง) เพื่อไปลงเรือ และขึ้นกระเช้า นะครับ



นั่งรถบัสมาสักพักให้ คอยสังเกตุ ดีๆนะครับ บอกเลยคนขับรถพูดแต่ภาษาญี่ปุ่น แถมบนรถ ไม่มีอะไรที่บอกเลยว่าถึงตรงไหนแล้ว โชคดีวันที่ไป คนไทยเยอะ เลยไม่ เลยป้าย 
(คนขับรถพูด น้ำเสียงเบื่อโลกสุดๆ)

ลงรถมากันเลยครับ


จากแผนที่ ก็แล้วแต่ตัดสินใจเลยครับ ว่าจะไปไหนก่อน 

ส่วน ตาตี่สี่ตา น่ะเรอะ ลงเรือก่อนครับ (กะว่าไปดู อาทิตย์ตก ด้านบน อิอิ )


มาถึงท่าเรือ ก็เช็ครอบเรือ ต้องรอ อีก 30 นาที (T-T)

เราก็เดินเล่นดูรอบๆไป แปปเดียว เรือก็มาแล้ว


เรือมาละ


นั่งเรือไปเรื่อยๆ บรรยากาศ ดีมากๆ ขมวิวสองข้างทาง ไปเรื่อยๆ


สะพานข้ามทะเลสาบ


โรงแรมที่อยู่ข้างๆ ทะเลสาบ


มาแล้ว ฟูจิกระทบผืนน้ำ รหว่างนี้บนเรือ คนลุกถ่ายรูปกันถ้วนหน้า 

ใช้เวลาประมาณ 30 นาที่ เราก็เข้าฝั่งมาแล้วนะครับ

จากนั้น ไปขึ้นกระเช้าต่อกันเลยครับ


ต่อคิวรอขึ้นกระเช้า กันเลยย


ถึงด้านบนแล้ว ครับ 


ไหนลอง คีบ ดูสิ้ 


ถ่ายกับ ทานุกิ และ กระต่าย Mascot ของที่นี่เค้า 


  ตัวการ์ตูนกระต่ายและทานุกิที่ถูกนำมาตกแต่งเหล่านี้ 
"ได้แรงบันดาลใจมาจากนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่อง คะชิคะชิยามะ (かちかち山
   
     โดยมีเนื้อเรื่องมีอยู่ว่า คุณตาคนหนึ่งจับทานุกิเจ้าเล่ห์ที่มาขโมยพืชผักในสวนบ่อยๆได้ จึงนำมาแขวนไว้ในบ้านและบอกกับคุณยายว่าให้ช่วยทำซุปทานุกิให้ 

  เมื่อคุณตาออกจากบ้านไปเจ้าทานุกิก็บอกกับคุณยายว่าหากคุณยายช่วยปล่อยมัน
ให้เป็นอิสระมันจะช่วยคุณยายตำข้าวและไม่รบกวนคุณยายอีก 
ด้วยความสงสารคุณยายจึงปล่อยมันลงมา 

  แต่ปรากฏว่ามันกลับใช้ที่ตำข้าวตีหัวคุณยายจนเสียชีวิต
และเอาคุณยายมาทำซุปให้ตากินแทน 

เมื่อตาทราบความจริงก็เสียใจมาก บังเอิญมีกระต่ายผู้รักความยุติธรรม
ตัวหนึ่งมาได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น จึงอาสาช่วยแก้แค้นให้คุณตา 

ด้วยการทำทีขอให้ทานุกิช่วยแบกฝืนแลกกับเมล็ดถั่วเดินข้ามเขา 
แต่ระหว่างที่ทานุกิกำลังแบกฟืนนั้น 
กระต่ายก็แอบใช้หินจุดไฟจนเป็นเสียงดัง คะชิ คะชิ” 
(ถ้าบ้านเราคงเป็นเสียงดัง คลิก คลิก) 
และปล่อยให้ไฟไหม้หลังเจ้าทานุกิ 

วันต่อมาเจ้ากระต่ายทำทีมาเป็นขอโทษเจ้าทานุกิโดยนำพริกเกลือมาให้
แล้วบอกทานุกิว่าหากทาหลังจะทำให้แผลไฟไหม้หาย ทานุกิเชื่อจึงให้กระต่ายทาให้ 

ทำให้ทานุกิปวดแสบปวดร้อนจนทนไม่ไหวน้ำตาไหล เมื่อแผลของเจ้าทานุกิหายดี กระต่ายก็ทำทีชวนมันไปพายเรือเล่นที่ทะเลสาบ โดยกระต่ายต่อเรือของตนเองด้วยไม้ และให้ทานุกิต่อเรือตัวเองด้วยดินเหนียว แล้วก็ชวนกันพายเรือออกจากฝั่ง 

พายได้สักพักเรือของทานุกิก็ค่อยๆอ่อนตัวและจมลง ทานุกิขอความช่วยเหลือจากกระต่าย แต่กระต่ายไม่ยอมช่วยและบอกกับทานุกิว่า 
นี่เป็นสิ่งที่มันควรได้รับเมื่อเทียบกับสิ่งที่ทำกับคุณยาย 

ทานุกิจึงค่อยๆ จมน้ำลงพร้อมกับเรือดินเหนียว ท่ามกลางสายตาของกระต่ายที่มองดูเหตุการณ์เกิดขึ้นทั้งหมดบนเรือของตนเองเพียงลำพัง "

--------------------------------


หลังจากอิ่มหนำสำราญกับวิว เต็มที่แล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับ Shinjuku กันแล้วและนี่ก็เป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะสามารถใช้ TOKYO WILD PASS เดินทาง ก็คิดว่า คุ้มค่าแล้วล่ะ (โฮะ ๆ)


ลาก่อนนะ ฟูจิ ไว้มีโอกาส จะมาหาอีก
(ถ้าไม่มีก็จะพยายาม หา 555 )
--------------------------------------

วันนี้จะพาไปปิดท้ายวัน ด้วยมื้ออุ่นๆ อีกมื้อ 
กับ สุกี้ยากี้ ต้นตำรับ แบบ บุฟเฟ่
สำหรับคนที่อยากลอง สุกี้ญี่ปุ่น
ที่  Nabezo @ Shibuya



วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2559

เที่ยวญี่ปุ่น 3 วัน โดยใช้ Tokyo wide pass (วันที่ 2) - NIKKO

วันนี้สารภาพเลยว่า ตื่นสาย ครับ
น่าจะเป็นเพราะเมื่อวาน เดินมากเกินไป หรือว่า เหนื่อยจากการเดินทาง ก็ไม่แน่ใจ
เลยทำให้ต้องออกช้ากว่ากำหนด แต่ก็ สบายๆ ครับ ตาตี่สี่ตา 
ก็ไม่ได้ รีบเร่งมากมายเรามาเที่ยว ชิลๆ (เนอะ) อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว 
เราก็ออกเดินทางได้เลยครับ
โดยการเดินทาง เราจะใช้ รถไฟ JR จากสถานี SHINJUKU โดยปลายทางก็คือ NIKKO นั่นเอง







โดยเราจะไปต่อรถ ที่ สถานี OMIYA จากนั้น ก็ สถานี  UTSUNOMIYA

การเดินทางใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ (เย้)
ระหว่างทางไปก็ ซื้อข้าวปั้น ขึ้นไปกินบนรถ เนี่ยแหละครับ ง่ายดี


ขอนอกเรื่องเกี่ยวกับข้าวปั้นหน่อยนะครับ มัน อร่อยมากกกกกกก
ข้าวอร่อย สาหร่ายกลมกล่อม ไส้ใน อาทิ ปลาดิบ ไข่แซลมอล
หรือไข่หวาน มาแบบพอดี พอกินกับข้าวช่วยชูรสกันยิ่งนัก
ถึงตอนนี้ ตาตี่สี่ตา ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าอันไหนไส้อะไร สุ่มไปเรื่อยๆ เพื่อความแปลกใหม่
ซึ่งพอกับมาลองหากินที่ไทย ช่างแตกต่างกับที่ไทยโดยสิ้นเชิง (แนะนำให้ลอง 555 )



พอถึงสถานี NIKKO ก็เดินออกมาเลี้ยวขวา แล้วเดินตามทางเดินมาเรื่อยๆนะครับ ก็จะเจอ ที่ขายตั๋วรถบัสอยู่ทางขวา

เกริ่นให้ฟังก่อนการเดินทางใน NIKKO เราจะต้องใช้ รถบัส เพื่อไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ และทีท่องเที่ยวใน NIKKOนั้นสามารถเที่ยวได้ทั้งโซนน้ำตก ทะเลสาบ หรือโซนมรดกโลก โดย ตาตี่สี่ตา เลือกไปที่โซนมรดกโลกโดยใช้บริการของ รถเมล์สาย World Heritage bus โดยเราสามารถเลือกขึ้นเป็นครั้ง หรือ ซื้อพาส 1 วัน ราคา 500 เยน (ขึ้นลงกี่ครั้งก็ได้)ซึ่งจะพาเราไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่อยู่ในโซนมรดกโลกครับ และตาตี่สี่ตา เลือกซื้อพาส วัน เพื่อความสะดวกครับ






แผนที่เส้นทางรถเมล์สาย World Heritage bus
ก่อนที่จะขึ้นรถเมล์มาศึกษาเส้นทางรถเมล์ก่อนจะได้ลงป้ายถูก แนะนำว่าควร print รูปนี้ไปด้วย เพราะแผนที่หลังบัตร One day pass เป็นภาษาญี่ปุ่นอ่านไม่ออก
ป้ายหมายเลข 1 : JR Nikko Station (สถานีรถไฟ JR Nikko)
ป้ายหมายเลข 2 : Tobu Nikko Station (สถานีรถไฟ Tobu Nikko)
ป้ายหมายเลข 81 : Hotel Seikoen mae
ป้ายหมายเลข 82 : Shodo shonin zo mae
ป้ายหมายเลข 83 : Omotesando (ศาลเจ้าโทโชกุ, วัดรินโนจิ, สวนโซโยเอ็น)
ป้ายหมายเลข 84 : Nishi-Sando
ป้ายหมายเลข 85 : Taiyuin futarasan jinja mae (วัดไทยูอิน, ศาลเจ้าฟุตาระซัง)
ป้ายหมายเลข 7 : Shinkyo (สะพานแดงชินเคียว)

ตามแผนที่วางไว้ ตาตี่สี่ตา จะไป ที่ ป้าย 83 ,85 และก็ 7 นะครับ
มาถึงแล้วครับ ป้าย 83 ศาลเจ้าโทโชกุ,วัดรินโนจิ,สวนโซโยเอ็น 

          เข้ามาเรื่อยๆ จะเห็นทางเดินเข้านะครับเดินเล่นๆ ชมวิว แปปเดียวก็ถึง

พอเดินได้มาถึงทางสามแยกเลี้ยวขวาจะเป็น วัดรินโนจิ ซึ่งต้องซื้อตั๋วเข้านะครับ(ไม่ได้เข้าเลยจำราคาไม่ได้ แฮ่ๆ)

วันที่ไป วัดกำลังปรับปรุงอยู่นะครับ แต่เค้าก็ดีนะ เอารูปมาให้ดูว่าลักษณะมันเป็นอย่างไร จะเล่าอะไรให้ฟังครับวันที่ไป ตาตี่สี่ตา ดันเจอกับหิมะ ซึ่งตอนแรกดีใจมากเลยครับ (ครั้งแรกในชีวิต บอกเลย ) แต่ความสุขมักสั้นเสมอ เดินไปเดินมา มันหนาว เปียก กลายเป็นทรมานแทน ซะงั้น เราก็เลยเดินไปหา ซื้อร่ม เพื่อบรรเทา ความเหน็บหนาวซะหน่อย ถามคนแถวนั้น ไอ้ด้านหน้าเค้าก็ชี้มา ที่นี่เลยยยยย ตาตี่สี่ตา เดินเข้าไป ฟุดฟิด ฟอไฟ เจ้าหน้าที่กลับพาเราเดินเข้าไปทัวร์ซะงั้น (งง เต็ก!!!! ) สรุปเจ้าหน้าที่ คิดว่าเราลืมร่ม เลยพาเดินหา แต่ที่ ขายร่ม มันดันอยู่ตรงที่ขายตั๋ว เหอๆตรงด้านซ้ายของรูป ที่เห็นแต่หลังคา นั่นแหละ (บอกแล้วภาษาเราสุดยอด 555) กลายเป็นโชคดีได้เดินเข้าไปดูด้านใน ฟรี ซึ่งเท่าที่มองผ่านๆ (แบบแอบๆ)ก็จะเป็น ข้าวเครื่องใช้ รูปปั้น อะไรพวกนั้น แหละครับ  พอได้ร่ม แล้วก็กลับมา ทางเดินเราต่อ(ไปซะไกลเลย

ผ่านประตูวัดเข้ามา เราก็ต้องไปซื้อตั๋วค่าชมก่อนนะครับ(จำราคาไม่ได้อีกแล้ว T-T)



สำหรับท่านที่กำลัง ลังเลว่าจะมาดีมั้ย คุณต้องมา !!!!!!!!!  มันสวยมากๆครับ 


 เดินเพลิน จนลืมเวลา พอออกมา ก็เกือบ 4 โมงแล้วซึ่งใกล้เวลารถหมดมาก ทำให้ต้องตัด ป้ายหมายเลข 85 วัดไทยุอิน ออกเนื่องจากกลัว รถหมด เดี๋ยวเดินกันขาลากเลย(ดีไม่ดีอาจกลับไม่ถึงโตเกียว) ทำให่มุ่งหน้าไป ป้ายหมายเลข 7 สะพานแดงชินเคียว กันเลย 
 พอลงรถให้เดินกลับหลังมาแล้วมองทางซ้าย เราก็จะเจอแล้วนะครับ


สะพานแดงชินเคียว 

  สะพานศักดิ์สิทธิ์ เป็นเหมือนกับประตูที่จะพาเข้าสู่ศาลเจ้าต่างๆ
ในนิกโก้ สะพานชินเคียวนั้นสร้างในปี 1636 และเป็นหนึ่งใน 3 สะพานที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น

สวยจริงๆครับ NIKKO สมกับเป็นเมืองที่ได้ขึ้นชื่อเป็น เมืองมรดกโลก พอชื่นชมกับความงามเต็มที่แล้วเราก็จะเดินทางกลับกันแล้วครับ โดยขึ้นรถกลับไปลง สถานีแรก ที่เราขึ้นรถมานั่นแหละครับ ช่วงนี้ยังมีเวลาระหว่างรอรถไฟออก ตาตี่สี่ตา เลยโต๋เต๋ แถวนี้ซะหน่อย 


      เดินไปเดินมาเห็น ร้านนึงเป็นผู้หญิงยืนขายขนม ควันโขมงอยู่หน้าร้าน อีกทั้งแอบมองเข้าไปมีพื้นที่หลบหนาวด้วย(ตัดสินใจไม่ยาก) เลยแวะมาหลบความหนาวโดยจิบชาร้อนๆ คู่กับ (เอิ่ม .... อ้าว มันคือไรหว่า เอาเป็นว่าขอเรียกว่าซาลาเปาไส้ถั่วแดงละกัน ซาลาเปาไส้ถั่วแดงซะหน่อย อากาศหนาวๆ นั่งกินซาลาเปา เนื้อเหนียวนุ่ม อุ่นๆ พร้อมกับ จิบชาร้อน เพิ่มความคล่องคอ แก้หนาว (โฮ่ย ฟินสุดๆ 5555

    และแล้วเราก็ถึงเวลาต้อง กลับโตเกียวกันแล้วเพื่อที่จะพักผ่อน เตรียมตัวไปดู ฟูจิ ในวันพรุ่งนี้ที่ คาวากูชิโกะกัน (เบ้ยยย) แต่ตอนนี้ ขอนั่งหลับในรถไฟ เก็บภาพเมืองมรดกโลกไว้ในหัวนานๆ หน่อยละกันเนอะะะ

ขากลับจะพาไปหาอะไรอุ่นๆกิน ที่  ร้านหม้อไฟรสจัด สามารถเลือกระดับความเผ็ดได้

>>>>> รีวิว Akakara @ Shinjuku ปิ้งย่าง นาเบะหม้อไฟ <<<<<<


จากนั้นมาลุยต่อวันที่ 3 กัน 


>>>> เที่ยวญี่ปุ่น 3 วัน โดยใช้ Tokyo wild pass (วันที่ 3 - KAWAGUCHIKO ) <<<<